4 พรรณไม้ดอกสีชมพูสวย เพิ่มชีวิตชีวาให้บ้านรื่นรมย์ สำหรับใครที่ชอบ
ไข่มุกอันดามัน (Medinilla myriantha Merr.)
พรรณไม้ดอกสีชมพูสว สำหรับใครที่กำลังมองหาไม้ดอกสีชมพูสวยมาเพิ่มเสน่ห์ให้กับการจัดสวนของบ้าน การปลูก ไข่มุกอันดามัน ก็เป็นคำตอบหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากพรรณไม้ชนิดนี้จะโดดเด่นด้วยรูปฟอร์มใบทรงรีเรียวยาวที่สวยได้รูป ใบมีความเป็นมัน และมีลายร่องเส้นที่ชัดเจนแล้ว พรรณไม้ชนิดนี้ยังเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กชนิดมีช่อดอกสีชมพูสวยที่ประกอบไปด้วยดอกขนาดเล็ก ๆ หลายดอก โดยในแต่ละดอกจะมีกลีบดอก 4 กลีบ เรียงซ้อนกันอย่างสวยงาม และเมื่อออกดอกรวมกันเป็นกลุ่มช่อตามซอกใบ จึงทำให้พรรณไม้ชนิดนี้ดูสวยงาม โดดเด่น และเหมาะสำหรับการนำมาตกแต่งสวนในบ้านเพื่อเพิ่มความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่มีแดดรำไร อาจตั้งประดับไว้ในบริเวณหน้าบ้านหรือในบ้านที่ใกล้กับริมหน้าต่าง เพื่อให้แสงสว่างสามารถส่องมาถึง โดยควรปลูกในที่มีดินร่วนซุย เพื่อช่วยในการระบายน้ำได้ดี ควรรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นปานกลาง แต่ไม่ควรรดน้ำจนขังแฉะเกินไป หากมีการดูแลอย่างดี ต้นไข่มุกอันดามัน ก็นับเป็นอีกหนึ่งพรรณไม้ที่สามารถออกดอกให้เชยชมได้ตลอดปี
ทิลแลนด์เซีย พาราไดซ์ (Tillandsia Paradise)
หนึ่งในพรรณไม้ที่ดูแลง่ายแถมออกดอกสวยแปลกตา ต้องยกให้ ทิลแลนด์เซีย พาราไดซ์ หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม “สับปะรดอากาศ” ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลสับปะรดสีที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกามากกว่า 500 ชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันออกไป ในบางชนิดสามารถปลูกได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีดินหรือวัสดุปลูกใด ๆ มารองรับ มีลักษณะต้นกว้างเป็นทรงพุ่มขนาดประมาณ 5-15 นิ้ว โดยมีรูปทรงใบเรียวยาวราว 15 นิ้ว และมีแผ่นใบกว้างเป็นร่องลึกประมาณ 1-1.5 นิ้ว สีใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันสวย เมื่อมีดอกจะโดดเด่นด้วยลักษณะช่อดอกคล้ายใบพายที่มีสีชมพู พร้อมด้วยกลีบดอกใหญ่ที่มีสีม่วงแกมน้ำเงินสด ซึ่งจะบานออกเป็น 3 แฉกและมีกลิ่นหอมในตอนเช้า เหมาะสำหรับการปลูกในที่มีอากาศเย็นสบาย ซึ่งส่งผลต่อความสวยงามของสีดอกไม้ที่จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มขึ้นตามความเย็นของอากาศ โดยสีชมพูของดอกจะค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีเขียวเมื่อมีอายุที่นานขึ้น โดยทั่วไปดอก ทิลแลนด์เซีย พาราไดซ์ จะมีอายุอยู่ได้นานราว 4-6 เดือน ในส่วนของวัสดุปลูกที่นิยมใช้คือมะพร้าวสับหรือขุยมะพร้าวล้วน ที่สำคัญควรให้วัสดุปลูกมีความชื้นสูง และนำไปจัดวางในที่มีแดดรำไร ก็จะช่วยทำให้ต้นไม้ชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดี มีใบเรียบเนียนเป็นมันเงา และออกดอกสีชมพูสวยไว้ให้ชื่นชม
บีโกเนีย โพลก้าดอท (Begonia Polkadot)
หากไม่นับความสวยงามของดอกสีชมพูสวย บีโกเนีย โพลก้าดอท ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งพรรณไม้ที่มีใบสวยงาม เหมาะสำหรับการนำมาจัดสวนเพิ่มความสวยงามให้มุมบ้านได้ดี เพราะด้วยใบที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีจุดประสีขาวเล็ก ๆ แต้มอยู่ตามใบราวกับมีใครมาสลัดแปรงพู่กันไว้อย่างไม่ตั้งใจ บวกกับรูปทรงใบสวยที่มีความสวยงามเฉพาะตัวแบบไม่ซ้ำกัน จึงทำให้พรรณไม้ชนิดนี้เหมาะสำหรับการนำมาจัดตกแต่งสวนได้ทั้งเป็นไม้ใบประดับและไม้ที่มีดอกสวย โดยจะมีดอกออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง มีทั้งสีชมพู สีส้ม สีแดง สีขาว และสีเหลือง ส่วนมากจะสามารถพบพรรณไม้ชนิดนี้ในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน เหมาะสำหรับการปลูกในวัสดุปลูกที่มีความร่วนและโปร่ง เพื่อช่วยให้สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดี โดยควรนำไปจัดวางไว้ในที่ร่มหรือมีแดดรำไร จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี แต่อาจมีบีโกเนียบางชนิดที่สามารถทนต่อแสงแดดจัดได้โดยไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัสดุปลูกและสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ เพราะหากมีความชุ่มชื้นไม่เพียงพอก็อาจทำให้ใบไม้แห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาลได้เช่นกัน
ยี่โถ (Oleander)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยี่โถ ยังคงเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่คนส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งสวนของบ้านให้สวยงาม เพราะด้วยขนาดลำต้นที่ไม่สูงจนเกินไป มีกิ่งก้านใบที่ไม่เยอะจนเกินงาม พร้อมทั้งยังให้ช่อดอกสีสวยจำนวนมาก ซึ่งมีให้เลือกหลายเฉดสีทั้ง สีชมพู สีแดง และสีขาว จึงเหมาะสำหรับนำมาปลูกประดับตกแต่งในสวนหรือปลูกไว้ในบ้านเพื่อสร้างความรื่นรมย์ โดยลำต้นจะมีความอยู่ประมาณ 2-5 เมตร โดดเด่นด้วยรูปฟอร์มใบเรียวยาว ปลายใบแหลม มีสีเขียวเข้มเป็นมันสวย เมื่อมีดอกจะออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งจำนวนมากราว 20-50 ดอก และจะมีดอกบานสวยให้เชยชมยาวไปตลอดทั้งปี สำหรับการปลูกยี่โถสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกโดยการเพาะเมล็ด เพราะจะสามารถแตกกอและกิ่งก้านได้ขนาดใหญ่มากกว่า ซึ่งจะทำให้มีช่อดอกที่มากกว่าด้วยเช่นกัน โดยควรปลูกไว้ในบริเวณที่มีแสงแดดจัดจ้า ตลอดวัน เหมาะสำหรับการรดน้ำในระดับปานกลางที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และหลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 1 ปี แนะนำให้ตัดแต่ง เพื่อให้ลำต้นแตกกิ่งก้านใหม่มากขึ้น
ช่วงที่สวยที่สุดของต้นไม้ คือวินาทีที่เรายื่นเงินให้คนขายแล้วหยิบมันออกมาจากร้าน
นักปลูกต้นไม้มือใหม่หลายคนเชื่อแบบนี้ เพราะต้นไม้ที่วางขายในร้านมันช่างสวยเตะตา ใบเขียวแข็งแรง ออกดอกสะพรั่งล้นกระถางจนนึกว่าเป็นช่อดอกไม้ เราเห็นแล้วก็จินตนาการไปว่าเดี๋ยวความงามนี้จะมาเฉิดฉายอยู่ในบ้านเรา ก็เลยควักเงินคว้าตัวมันกลับมา
แต่พอย้ายมาอยู่บ้านเรา มันก็เริ่มร่วงโรย ดอกหาย ใบเหี่ยว และค่อยๆ ขาดใจตายไปในที่สุด
เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้กันมาแล้วทั้งนั้น
ดังนั้น ถ้าอยากซื้อต้นไม้กลับมาปลูกในบ้าน ในห้อง หรือบนโต๊ะทำงาน แล้วให้มันยังคงความงามและชีวิตเอาไว้ เราขอแนะนำว่าอย่างนี้
1. ต้นไม้ที่ปลูกในห้องจะไม่งามเท่าต้นไม้ที่ปลูกนอกห้อง
ความจริงข้อแรกที่ควรทราบคือ ต้นไม้ที่เอามาปลูกในที่ร่มอย่างในห้อง โดยเฉพาะในห้องแอร์ ยากมากที่จะสุขภาพดีและงดงามเท่าตอนปลูกแบบโดนแดดโดนลมด้านนอก ดังนั้น การที่เราซื้อต้นไม้ซึ่งโตมาในเรือนเพาะชำมาปลูกในห้อง มันย่อมไม่มีทางงามเท่าตอนอยู่ที่ร้าน ถ้าปลูกแล้วความสดชื่นของมันลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงความเขียว ไม่ทิ้งใบ แตกใบใหม่ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเริ่มโรยราแล้วไร้ซึ่งการเจริญเติบโต ก็ได้เวลาที่เราต้องเข้าไปแก้ไข
2. หาข้อมูลต้นไม้ก่อนปลูก
ถ้าคุณทำการบ้านมาอย่างดีว่าอยากได้ต้นนั้นต้นนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องศึกษาคือ มันต้องการแสงมากน้อยแค่ไหน อยู่ในแสงรำไรได้หรือไม่ เพราะต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงแดด ต้นที่ต้องการแสงมากควรปลูกกลางแจ้ง แต่ถ้าเราเอาต้นที่ต้องการแสงมากอย่างกระบองเพชรมาอยู่ในห้องที่โดนแสงน้อย ยังไงก็ไม่รอด
3. รู้เท่าทัน Pinterest
หลายคนเลือกต้นไม้มาปลูกในห้องตามรูปใน Pinterest หรือ Instagram ซึ่งเน้นสไตล์ของต้นไม้ที่เข้ากับห้องเป็นหลัก เราขอแนะนำให้คุณดูเลยไปถึงตำแหน่งของต้นไม้ในรูป ดูว่าที่มันงามขนาดนั้นมันโดนแสงมากน้อยขนาดไหน แล้วจุดที่เราจะเอามาวางในห้องของเรามีแสงแบบนั้นไหม และสิ่งที่สำคัญที่สุดระดับที่ต้องใส่ดอกจันไว้ 3 ดอกก็คือ อย่าปักใจเชื่อภาพที่เราเห็นแบบหมดใจ เพราะหลายครั้งเขาก็แค่ยกมันมาตั้งตรงนั้นเพื่อถ่ายรูปเท่านั้นเอง การหาข้อมูลนิสัยใจคอของมันด้วยตัวเองจึงสำคัญที่สุด
4. ควรคุยกับพ่อค้าแม่ค้า แต่อย่าเชื่อทั้งหมด
เวลาเราเห็นต้นไม้ถูกใจในร้านขายต้นไม้ คำถามแรกที่ทุกคนมักจะถามคือ “ชื่อต้นอะไร” คำถามถัดมาที่ต้องถามให้รู้ก่อนซื้อก็คือ มันชอบแดด ชอบน้ำยังไง บ่อยครั้งที่คนขายมักจะตอบแบบกลางๆ เช่น ปลูกแดดได้ ปลูกรำไรได้ บางครั้งเขาก็ตอบตามความจริง แต่บางครั้งก็ไม่จริงเพราะเขาอยากขาย และหลายๆ ครั้งก็ไม่จริงเพราะเขาไม่ใช่คนปลูก เขาแค่ไปรับมาจากผู้เพาะต้นไม้แล้วเอามาขายเท่านั้นเอง คำตอบของเขาจึงมาจากประสบการณ์หรือความเข้าใจของเขา ดังนั้น เพื่อความชัวร์ เราควรถามเขาว่า เขาเพาะต้นนี้เองหรือเปล่า ถ้าใช่ เขาก็น่าจะเข้าใจนิสัยใจคอของมันจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร วิธีการที่ดีที่สุดคือหาข้อมูลจากหลายๆ แห่ง เช่นถามจากหลายๆ ร้าน ถ้าข้อมูลตรงกัน ก็น่าจะเชื่อได้
5. ไม้ดอกส่วนใหญ่ปลูกในห้องไม่ได้
ไม้ดอกเกือบทุกชนิดต้องการแสงมาก ดังนั้น ถ้าเอามาปลูกในห้องมันก็อาจจะไม่ออกดอก กลายร่างเป็นไม้ใบ หรือไม่ก็อาจจะตายได้ แต่ไม้ใบส่วนใหญ่อยู่ในห้องได้ แต่ก็ต้องเป็นจุดที่ไม่อยู่ห่างจากแสงธรรมชาติมากนัก ถ้าปล่อยมันไว้กับความสว่างจากหลอดไฟอย่างเดียวก็อาจจะไม่รอด (ยกเว้นเป็นไฟสำหรับปลูกต้นไม้)
6. ให้เวลาต้นไม้ปรับตัว
ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดและเติบโตมากับแสงแบบหนึ่ง (ส่วนใหญ่โตมาในโรงเพาะชำซึ่งได้รับแสงค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้แรงขนาดแสงกลางแจ้ง) เมื่อเราเอามันเข้ามาในบ้าน เราก็ควรวางให้โดนแสงในจุดที่ไม่หักดิบจนเกินไป ค่อยๆ ให้ต้นไม้ได้ปรับตัว โดยเฉพาะการเอาไปโดนแดดเต็มๆ ตามระเบียงหรือดาดฟ้า ก็อาจจะช็อกแดด ใบไหม้ได้ อย่างเฟิร์น เราเชื่อกันว่าต้องอยู่ในที่ร่ม แต่เฟิร์นอยู่กลางแดดได้ เพียงแต่ต้องรอให้เขาชินแล้วแตกใบใหม่ขึ้นมารับแดดกลางแจ้ง ส่วนต้นไม้ที่โดนแดดน้อยลงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มักจะทิ้งใบแล้วไม่ยอมแตกใบใหม่ แต่ถ้าแตกใบใหม่เมื่อไหร่ก็แปลว่ามันปรับตัวกับสภาพนั้นได้แล้ว
7. อย่าดูแลต้นไม้ในห้องเหมือนต้นไม้กลางแจ้ง
ต้นไม้กระถางที่อยู่ในห้องต้องการการดูแลแตกต่างจากต้นไม้กลางแจ้งโดยสิ้นเชิง เราพูดเรื่องแดดกันไปแล้ว ต่อไปคือเรื่องน้ำ ต้นไม้กระถางต้องการน้ำน้อยกว่าต้นไม้กลางแจ้ง เนื่องจากแดดและอุณหภูมิในห้องทำให้น้ำระเหยช้ากว่า ถ้ารดน้ำเท่ากับต้นไม้กลางแจ้งก็อาจจะเน่าได้ ดังนั้น เราต้องรดน้ำด้วยปริมาณและความถี่ที่น้อยลง ถ้าจะให้บอกจำนวนคงยาก เพราะขึ้นกับสภาพห้องและการดูดน้ำของต้นไม้ แต่หลักที่เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ดินแห้งเมื่อไหร่ค่อยรดเมื่อนั้น ส่วนปุ๋ยก็ควรใช้ปุ๋ยละลายช้า (ตอนหน้าเราจะมาอธิบายเรื่องนี้กันต่อ) ให้ปุ๋ยในปริมาณที่น้อยกว่าต้นไม้กลางแจ้ง และให้ปุ๋ย 3 – 4 เดือนครั้งก็พอ
8. จับสัญญาณให้ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม
ถ้าหมั่นสังเกตต้นไม้สักหน่อย เราอาจจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ ถ้าเราเห็นอาการบางอย่างแล้วปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจจะนำมาซึ่งความป่วยไข้ และล้มตายในที่สุด เอาเป็นว่าถ้าใบเริ่มมีอาการผิดปกติ เราก็ควรต้องตรวจโรคพืชแบบง่าย ถ้าใบสลด ต้องเริ่มจากสังเกตสภาพดินว่าดินแห้งหรือแฉะไป ถ้าดินแห้งก็ลองรดน้ำแล้วรอดูว่าจะฟื้นไหม ถ้าดินแฉะก็เป็นได้ว่ารดน้ำมากไปจนทำให้รากเน่า ซึ่งถ้าโชคร้ายเจอเชื้อราลามจากรากเข้าต้นสู่ใบ ก็อาจตายได้ ดังนั้น ต้นไม้ที่อยู่ในห้อง ถ้ารดน้ำมากไปก็อันตรายมาก
9. ถ้าอาการไม่ดี อย่าเพิ่งทิ้ง
การปฐมพยาบาลต้นไม้ที่เริ่มเน่าเพราะดินแฉะหรือโดนเชื้อราทำได้หลายวิธี ง่ายๆ คือ เอาต้นไม้ขึ้นมาจากดิน ตัดรากเสียทิ้ง ล้างรากให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง แล้วปลูกอีกครั้งด้วยวัสดุปลูกใหม่ ถ้าปลูกด้วยดิน รดน้ำเยอะไปดินอาจจะจับเป็นก้อน หรือละลายเป็นเลน ลองเปลี่ยนมาปลูกด้วยกาบมะพร้าวสับ พีทมอส หรือสแฟกนัมมอส ใช้แทนดินได้เลย วัสดุพวกนี้มีความพรุนสูงมาก จะช่วยให้รากเดินเร็ว
10. ย้ายที่
ต้นไม้แต่ละชนิดต้องการปริมาณน้ำและแสงแดดไม่เท่ากัน ดังนั้นถ้าวางในมุมหนึ่งของห้องแล้วอาการไม่ดี ก็ลองขยับเปลี่ยนมุมให้โดนแสงมากขึ้น หรือเอาออกไปตั้งนอกห้องให้ได้รับแสงรับอากาศเต็มๆ จนแข็งแรงแล้วค่อยเอากลับเข้ามา ก็จะช่วยให้ต้นไม้อยู่กับเราได้นานขึ้น สถาปนิก